Wedding Planner คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ

ทำไม wedding planner ถึงสำคัญ
 

Wedding Planner คืออะไร?

Wedding Planner คือ ผู้วางการจัดงานแต่งงานให้คู่บ่าวสาว เริ่มต้นตั้งแต่วันที่บ่าวสาวกำหนดวัน โดยปกติงานแต่งทั่วไปจะวางแผนล่วงหน้าประมาณหนึ่งปี wedding planner จะช่วยดูแลบ่าวสาวในเรื่องการวางแผนการจัดงานแต่งงาน การติดต่อประสานงาน รายละเอียดในงานแต่ง เพราะในงานแต่งงานนึงจะต้องติดต่อในหลายภาคส่วน เพราะฉะนั้นสำหรับคู่งานแต่งงานที่ไม่ได้มีเวลา หรือรู้สึกว่าอาจจะต้องการคนที่มาช่วยการตัดสินใจและวิเคราะห์ในหลายๆ เรื่อง ก็จะจ้าง wedding planner

ถ้าตามคำแปลอาจจะแปลว่านักวางแผน แต่ถ้าตามนัยยะของเรามองว่า wedding planner คือเพื่อนคู่คิด คนที่อยู่กับบ่าวสาวตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงวันงานแต่งงาน

หน้าที่ของ Wedding Planner ทำอะไรบ้าง

  • โดยปกติบ่าวสาวที่ไม่ได้มีไอเดียเลยว่างานแต่งจะต้องทำอะไรบ้าง เรียงลำดับไม่ถูก ก็จะติดต่อ wedding planner ตั้งแต่ต้นเลย หรือก็จะมีกรณีที่บ่าวสาวไปดูโรงแรมให้เรียบร้อยก่อน แล้วพอได้โรงแรมก็จะมาคุยในรายละเอียดต่อไปว่าจะมี vendor อะไรบ้าง ในงานแต่งงานหนึ่ง นอกจากสถานที่แล้ว รายละเอียดที่ต้องทำไล่ไปตั้งแต่หัวจรดเท้า ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ชุดแต่งงานเจ้าบ่าวเจ้าสาว ไปจนถึงแหวนแต่งงาน รองเท้าแต่งงาน การติดต่อประสานงานกับทางฝ่ายต่างๆ การตกแต่ง เป็นอีกสิ่งนึงที่บ่าวสาวจะต้องพิจารณา ด้วยความที่บ่าวสาวสมัยนี้ก็จะมีความอยากได้แบบความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ก็จะมีการจ้าง organizer จ้างทีมตกแต่ง ทีม lighting
  • ในฐานะที่เราทำ wedding planner เราก็จะเป็นคนเจอบ่าวสาวตั้งแต่นัดแรก เพื่อที่จะคุยความต้องการกับบ่าวสาวก่อนว่างานที่คิดไว้เป็นยังไง ซึ่งบ่าวสาวส่วนใหญ่ก็จะมีทั้งที่มีไอเดียมาก่อนกับไม่มีไอเดียมาเลย หน้าที่ของเราคือการเอาสิ่งที่เขามอบให้เรา แล้วมาทำต่อว่าสิ่งที่มันจำเป็นจะต้องมีในงานแต่งมีอะไรบ้าง สมมุติว่าคุณแพลนจะแต่งงาน แพลนว่าจำนวนแขกในงานเป็นแบบไม่เยอะมาก เรียบง่าย อะไรแบบนี้ เราก็ต้องจะตีโจทย์จากตรงนั้นว่าความเรียบง่ายที่คุยกัน มันเรียบง่ายแบบไหน เช่น มีโจทย์มาว่าจำนวนแขกไม่เยอะ เพราะฉะนั้นสถานที่จัดงานก็ต้องสอดคล้องกันไป planner เป็นคนที่ช่วยให้คำปรึกษาบ่าวสาวในลักษณะการทำงานที่บ่าวสาวไม่เคยทำมาก่อน หน้าที่ของ planner จะต้องเป็นคนที่วิเคราะห์ คิดแทน และแนะนำบ่าวสาวให้ถูกจุด
  • เราจะคุยพูดคุยกับบ่าวสาวทุกคู่ โดยไม่ยัดเหยียดความต้องการของเราหรือเทรนด์ไปใส่ในตัวเขา ให้บ่าวสาวได้พูดในความรู้สึกจริงๆ ของเขา ซึ่งต่อให้ไม่มีไอเดียเลยแต่เราก็จะช่วยวาดภาพให้เห็นภาพก่อนว่า มันจะต้องมีแบบนี้นะ พอเขาเห็นภาพ เห็นไอเดีย เขาก็จะค่อยๆ ต่อจุดถูก แล้วเราก็จะเป็นคนช่วยลิสต์ให้ดูว่าสิ่งที่จะต้องทำ หนึ่งสองสามสี่เป็นขั้นตอน เพราะบางทีสมมุติบ่าวสาวมองว่าได้สถานที่จัดงานแล้ว งั้นไปเรื่องการ์ดเลย มันก็ไม่ผิดแต่ในฐานะที่เรามีประสบการณ์ เราก็จะแนะนำบ่าวสาวว่าโดยปกติแล้วถ้าเราแพลนงานหนึ่งปีล่วงหน้า เราไม่จำเป็นที่จะต้องแจกการ์ดเร็วมาก ยิ่งถ้าแขกอยู่ในช่วงประมาณไม่เกิน 300 คน เราแจกการ์ดประมาณสองเดือนล่วงหน้า ถ้าในช่วง high season อาจจะแพลนล่วงหน้ามากกว่านั้นนิดนึง ถ้ารีบตัดสินใจไปเลือกการ์ดก่อน สมมุติยังไม่ได้คุยกับทีมที่เป็นดีไซเนอร์ ทีมตกแต่งที่ออกแบบงานแต่งเลย ก็จะได้การ์ดในลักษณะที่เขาชอบ ณ โมเมนต์ ตอนนั้น แต่มันไม่ได้สอดคล้องกับ over all งานของเขาเลย เราก็จะเป็นคนช่วยดูว่าหนึ่งสองสามสี่ จะต้องทำอะไรบ้าง แบบนี้
  • ในยุคนี้บ่าวสาวเข้าถึงทุกอย่างได้ง่ายดายมาก เข้าถึง vendor ต่างๆ เข้าถึงร้านชุด ร้านการ์ด อะไรต่างๆ นานา เข้าไปใน Instagram ก็เจอช่างทำผม ช่างแต่งหน้าที่ชอบ อาชีพ planner เราเป็นอาชีพที่ช่วยวิเคราะห์และประสานงานมากกว่า เพราะอย่างถ้าบ่าวสาวเขาไปติดต่อกับช่างแต่งหน้าทำผมเอง ก็ทำได้เหมือนกัน
  • แต่บางทีในรายละเอียด ถ้าในครอบครัวไม่เคยแต่งงานหรือไม่เคยเกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เขาอาจจะไม่ได้รู้ว่าจะต้องคุยคิวยังไงกับช่างแต่งหน้า ช่างทำผม สมมุติเป็นงานเช้าเลี้ยงเที่ยง เราคอนเฟิร์มช่างแต่งหน้าไปเป็นวันนี้ เวลาช่วงเช้า แต่ตอนกลางวันเราจะมีงานเลี้ยงเที่ยงแล้วมีเปลี่ยนชุดอีก นั้นแปลว่าเราก็ต้องมีการพูดคุยเรื่องการจองคิวเพิ่มเติม เพราะไม่อย่างนั้นทางทีมแต่งหน้า พอแต่งตอนเช้าเสร็จปุ๊บหมดคิวก็กลับเลย จะเป็นอะไรที่บางทีเจ้าสาวเจ้าบ่าวไม่ได้มองเห็นถึงรายละเอียดเชิงลึกแบบนี้

Wedding Planner กับ Organizer ต่างกันอย่างไร?

  • Planner จะเป็น center contact ของทุกอย่าง เป็นคนดูแลในเรื่องของทีมตกแต่งไปลงในรายละเอียด ช่วยบ่าวสาวคุยในรูปแบบการตกแต่งที่ออกมา บ่าวสาวคู่นี้เขาเป็นลักษณะแบบนี้นะ นี่นั่น เราจะช่วยดูในลักษณะนี้ บ่าวสาวส่วนใหญ่ที่ใช้บริการ planner คือหนึ่งไม่มีเวลาในการตัดสินใจและการประสานงานใดๆ สองคือต้องการคนที่เป็นมืออาชีพมารับผิดชอบมาดูแลให้เลย

  • Organizer คือคนที่จะมาประสานงานในวันงานเท่านั้นว่า คอนเฟิร์มคิว วงดนตรีจะขึ้นเล่นกี่โมง ส่งกำหนดการ agenda ให้ทุกทีมทุกฝ่ายเป็นคนดูแลต่ออีกทีนึง บ่าวสาวจะมองว่าเขาตีกรอบมาครบถ้วนแล้ว เหลือแค่คนที่จะมาประสานวันงาน

MODI EDGE เราเป็นบริการ one stop service รูปแบบการบริการของเราคือเป็น planner ที่มีรวมการรันคิวซึ่งคือ organizer ในวันงาน แต่ก็จะมีกลุ่มลูกค้าบางกลุ่มที่ต้องการแค่ให้มีคนมารันคิวในวันงานก็จะเป็นส่วนของ organizer อย่างเดียว เพราะฉะนั้นเราจะมี service ที่เรามีจะค่อนข้างครอบคลุมอยู่แล้ว มีการ collapse กับบริษัทไม้หน้าสาม ที่เป็นบริษัทดีไซน์โดยเฉพาะ

เพราะฉะนั้นคู่แต่งงานที่มาหา MODI EDGE ของเรา มีตั้งแต่ไม่มีไอเดียอะไรเลย เริ่มจากศูนย์ อย่างยกตัวอย่างเคสนึง บ่าวสาวได้วันแต่งงานมาแต่ยังไม่รู้เลยจะเลือกสถานที่ไหน อะไรยังไง ด้วยความที่เราเคยมีประสบการณ์ด้านการทำงานโรงแรมมาก่อน เราก็จะช่วยวิเคราะห์เลยว่าโรงแรมนี้ ลิสต์มาให้เลยจากที่เราได้คุยกับบ่าวสาวเบื้องต้นว่าแบบนี้ตอบโจทย์ สิ่งที่เขาจะได้คือเราจะประชุมกับทีมดีไซเนอร์ไปด้วยเลยว่าคาแรคเตอร์ของคู่บ่าวสาวที่มาใช้บริการของเราเป็นยังไง

มีคู่นึงที่เจ้าสาวเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ เจ้าบ่าวเป็นกราฟฟิคดีไซเนอร์ เรารู้แล้วว่างานเขาต้องสุดแน่นอน จะต้องมีรายละเอียด มี after party ด้วย เราก็จะรู้แล้วว่าสไตล์ห้องต้องเป็นแบบไหน ที่จะตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของการตกแต่งและการคลุมโทน จำนวนแขกที่มา อันนี้ก็จะยิ่งทำให้บ่าวสาวมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเขาเหมือนมี professional ทั้งสองทีมทำงานเพื่องานเขา

คำแนะนำสำหรับการเริ่มต้นวางแผนแต่งงาน

  • ต้องคิดเบื้องต้นก่อนว่าเราจะใช้บริการ planner ดีไหม ตั้งแต่เริ่มต้นที่ทางบ่าวสาวตัดสินใจว่าจะจัดงานแต่งงาน อยากให้สองคนมานั่งคุยกันก่อนว่าเราต้องการงานแบบไหน สมมุติคู่แต่งงานเจ้าบ่าวเป็นลูกชายคนโต บ้านเป็นคนจีน ทำธุรกิจ เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่คาดหวังในเรื่องของการจัดงานแต่ง มีผู้ใหญ่เป็นองค์ประกอบสำคัญ พอบ่าวสาวรู้ตรงนี้แล้วก็ต้องมาดูก่อนว่าแขกของเราจำนวนประมาณเท่าไหร่ พอรู้รายละเอียดตรงนี้แล้วจะเห็นภาพมากขึ้น จะค่อยๆ ต่อยอดไปได้เรื่อยว่าเรารู้แล้วว่างานช่วงเช้าอาจจะต้องมีพิธีการเป๊ะๆ ให้กับทางผู้ใหญ่แน่นอน ส่วนของงานฉลองมีทั้งกลุ่มผู้ใหญ่ที่เป็นเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ที่ทำธุรกิจ มีทั้งกลุ่มเพื่อน เป็นแนวสายปาร์ตี้ไหม เราจะต้องตอบโจทย์ตรงนี้ในหลายๆ อย่าง ให้ได้ก่อน

  • ส่วนเรื่องที่บ่าวสาวส่วนใหญ่จะชอบไปคิดเรื่องธีมสีก่อน ไม่ผิด คิดได้ แต่มองว่าตรงนั้นมันเป็นสิ่งที่สวยงาม มันแฟนซี เพราะฉะนั้นมันจะฟุ้งไปเรื่อยๆ เราก็เลยจะพยายามแนะนำบ่าวสาวว่าถ้าบ่าวสาวไม่ได้มี planner ที่คอยช่วยแนะนำตรงนี้ บางทีมันจะเรียงลำดับไม่ถูกมากกว่าว่าหนึ่งสองสามสี่จะเป็นยังไง บางทีมันอาจจะเป็นสี่สองสามหนึ่ง แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นได้ แต่อาจจะทำให้เราต้องทำงานหลายต่อมากขึ้น

  • การตั้งงบเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเป็นกรณีที่มีผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่ก็จะมีงบจากทางผู้ใหญ่ช่วยด้วย แต่ถ้าเป็นเคสที่บ่าวสาวดูแลเรื่องงบประมาณการจัดงานแต่งเองทั้งหมด อันนี้เราก็ต้องมาดูว่าเราจะให้ความสำคัญกับจุดใดบ้าง เช่น ถ้าเราตั้งงบไว้หนึ่งล้านบาท จะเอาไปลงกับเรื่องการตกแต่งสักสามสี่แสนก็ไม่สมเหตุสมผล อยากให้บ่าวสาวคุยและตั้งงบกันให้ชัดเจน

ข้อที่ควรระวังสำหรับการจัดงานแต่ง

  • ส่วนใหญ่จะเป็นในแง่ที่จำนวนแขกกับสถานที่ไม่สอดคล้องกัน ลำดับแรกส่วนใหญ่ทาง planner กับทางโรมแรมจะคอยเช็คเรื่องจำนวนแขกผู้มาร่วมงานบ่อยๆ อยู่แล้วว่าแขกจะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ เพื่อที่เราจะคอยดูว่าตัวห้องมันยังรองรับอยู่ได้ไหม และอยู่ในจุดที่ไม่กระทบกับตัวภาพรวมของงาน สมมุติห้องจัดงานรองรับแขกได้อยู่ที่ 400 แต่เริ่มต้นมาบ่าวสาวบอกว่าแขกอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 400 ก็จะเกิดปัญหาถ้าตอนใกล้งานแล้วคนคอนเฟิร์มมามากขึ้น จะเกิดปัญหาในเรื่องของการบริการ แขกก็ไม่ได้รับการบริการอย่างเต็มที่

  • หรืออีกกรณีที่จำนวนแขกเยอะแล้วส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ แต่อยากจัดงาน outdoor ซึ่งบ่าวสาวส่วนใหญ่จะรู้ว่ามันสวย แต่อาจจะไม่ได้มองถึงหลายๆ อย่าง เช่น สภาพอากาศ สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เช่น อยู่ดีๆ ถ้าฝนตก หลักๆ ที่เรามองว่าที่สำคัญเลยคือ จำนวนและลักษณะของแขกกับสถานที่ต้องเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลกัน

  • เรื่องงบประมาณก็ควรจะคุยให้เคลียร์ตั้งแต่แรก ส่วนใหญ่เรื่องบบประมาณมักจะเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่ได้เป็นสิ่งที่ระวังไว้ตั้งแต่แรก สมมุติไม่ได้ทำ budget plan เอาไว้ พอใกล้ๆ วันงานสิ่งที่เป็น hidden cost จะโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ เช่น สมมุติเจ้าสาวชอบช่างแต่งหน้าคนนี้มาก ก็เลยไปจองช่างไว้ก่อนราคาอาจจะห้าหกหลักแล้วไม่ได้เผื่อไว้ว่าจะต้องไปทำเรื่องของการตกแต่งด้วย ค่าดอกไม้ ฉาก แกลลอรี่ เอาแบบมาอลังการมาก แต่มีงบน้อย ก็ทำให้เขาเสียโอกาสตรงที่ว่ามันทำไม่ได้ เขาก็ต้องไปเพิ่มค่าใช้จ่ายตรงนั้นเข้าไปอีก

  • ปกติเราจะแนะนำให้มีบัดเจ็ทหลักและบัดเจ็ทรองที่บ่าวสาวดูแลกันเอง หรืออะไรก็ตาม สิ่งสำคัญจริงๆ คือทุกอย่างเราควรจะมีเพดานเซ็ตไว้เลย งานแต่งเป็นงานที่มีความสวยงาม เป็นเรื่องของความรู้สึก บ่าวสาวบางคู่ก็อยากจะจัดเต็ม แต่งงานครั้งนึงในชีวิต ซึ่งถูกต้อง แต่ว่าบางทีสิ่งที่แพงที่สุดอาจจะไม่ได้สวยที่สุดสำหรับคู่คู่นึงก็ได้ ความสวยงามมันดีไซน์ได้กว้างมาก เราจะช่วยวิเคราะห์ตรงนี้มากกว่า

เทคนิคในการเลือกสถานที่สำหรับงานแต่งงาน

  • ปกติทางโรงแรมจะมี floor plan ให้อยู่แล้วว่าการจัดแบบนี้จะรองรับได้กี่คน ซึ่งตรงนี้จะเป็นข้อมูลที่ได้รับก่อนการตัดสินใจอยู่แล้ว สมมุติบ่าวสาวลองคิดคร่าวๆ กันก่อนประมาณ 300 คนถ้ารวมๆ กัน ชอบฟิลงาน outdoor ก็จะลิสต์ออกมาได้ว่าที่ไหนก็ลองไปคุยดู ทางโรงแรมก็จะมี proposal ออกมาว่าแขกประมาณ 300 งบประมาณเท่านี้ บ่าวสาวก็ลองมาคุยดู ถ้าอยากมี After Party ก็ต้องดูระยะเวลาจัดงานด้วย
  • โดยทั่วไปจะเป็นหกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม ถ้าแนวปาร์ตี้ห้องปิดติดตั้งไฟได้ เราก็ต้องไปดูสถานที่ที่มันตอบโจทย์รูปแบบนี้ ปกติเราก็จะไม่แนะนำให้ฟิคไว้ที่เดียว เพราะยิ่งถ้าเป็นปลายปีที่ฤกษ์ดีๆ บางทีก็ต้องหากันสุดๆ ก็ต้องเผื่อตรงนี้ไว้ด้วย สถานที่เกือบทุกที่มีได้อย่างเสียอย่าง แต่สิ่งที่จะนิยามว่าเป็นงานแต่งแบบที่สมบูรณ์ที่สุดก็คืองานแต่งที่บ่าวสาวมีความสุขที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นดอกไม้ที่แพงที่สุด แต่เป็นดอกไม้ในสไตล์ที่ฉันชอบแล้วจบแบบนี้มากกว่า

เทรนด์งานแต่งงานในช่วงนี้

  • มีมาตรการและสเต็ปการทำงานที่เพิ่มขึ้น งานที่จัดช่วงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นบ่าวสาวที่คอนเฟิร์มมาตั้งแต่มาก่อนมีสถานการณ์โรคระบาด ช่วงปลายปีที่แล้วจริงๆ มีสถานการณ์ที่ดีขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้เราจะ manage คู่แต่งงานที่ตกค้างมา
  • Wedding at home เกิดขึ้นเยอะมาก อย่างปีที่แล้วพอโควิดมาช่วงต้นปี การจัด wedding at home ก็เป็นอีกนึงเทรนด์ การจัดพิธีการในรูปแบบของปริมาณแขกที่ไม่ต้องเยอะ แล้วทำให้บ่าวสาวรู้สึกว่าเป็นมิติใหม่ และรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า รู้สึกเป็นตัวเองมาก เพราะมีแค่ครอบครัว พี่น้อง มันเป็น vibe ที่อบอุ่นมาก มันทำให้เราเห็นอีกมุมมองนึง
  • การจัดงานแต่งมันไม่ได้มาจากดอกไม้หรือการตกแต่งที่แพง แค่ฉากในบ้านเรียบๆ ปูผ้าแล้วติดอะไรด้านหลัง บ่าวสาวก็แฮปปี้พอๆ กับงานตกแต่งที่อลังการ ค่อนข้างสื่อให้เห็นว่าบ่าวสาวยุคนี้เขาเล็งเห็นถึง meaning ของการจัดงานมากขึ้นจริงๆ แต่ถ้ามีโอกาสมากขึ้นแน่นอนบ่าวสาวหลายๆ คู่ก็อยากจะจัดให้มัน celebrate อยากจะจัดให้มันสมเกียรติอยู่แล้วแน่นอน แต่เรารู้สึกว่างานที่สเกลเล็กลงอาจจะเทรนด์ในช่วงนี้ บางทีจัดเสร็จเลี้ยงงานกลางวัน บ่าวสาวใส่ผ้าใบ เดินทักทายแขก มันเป็นอีกฟิลลิ่งนึงจริงๆ
  • แต่คิดว่าเทรนด์นี้ไม่น่าจะอยู่ไปตลอด พอโรคระบาดหายไปก็จะน่าจะเปลี่ยนสไตล์รูปแบบการจัดงานไปอีก จุดยืนคอนเซ็ปของ MODI EDGE เราคือการสร้าง uniqueness และ party เชื่อว่ามันจะกลับมาอยู่แล้ว งานแต่งงานก็คือการ celebration เรื่อง feeling เรื่อง vibe พอมันไม่มีข้อจำกัด คิดว่ามันจะกลับมาสนุกมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ มีกิมมิค มีรายละเอียดมากขึ้น เพราะมันเริ่มมีเทคโนโลยีหลายๆ อย่างเริ่มเข้ามามีส่วนประกอบ อย่างงาน After Party เริ่มมี Kahoot เริ่มให้แขกมี interaction ใช้ QR code สแกน หลายๆ อย่างจะเปลี่ยนเทรนด์ไปอีก
  • ตอนนี้คือเทรนด์ใส่หน้ากาก ตรวจ ATK อีกหน่อยก็จะเปลี่ยนไปอีกแน่นอน เชื่อว่าจะสนุกมากขึ้น เอาให้สมกับที่อัดอั้นกันช่วงนี้

การจัดงานแต่งกับ Metaverse

  • มีเริ่มคิดบ้าง เราเป็นคน creative ชอบงาน creative แต่ความ real ของงานแต่งจริงๆ ที่มันมีความรู้สึกของคนในงาน คิวเซอร์ไพรส์ มันอร่อยกว่า แต่ metaverse เราคิดว่ามันเกิดขึ้นแน่นอนและเราก็อยากทำด้วย แต่เรายังหาจุดที่มันยังอร่อยไม่ได้มากขนาดนั้น แต่รู้สึกว่าน่าสนใจ แล้วมันคงต้องมีแน่นอน metaverse ที่เป็นแบบ feeling งานแต่ง เราไปเป็น planner ในนั้นก็คงจะเป็นอีกแบบนึงเลย แต่เชื่อว่ามีแน่นอน เราก็จะเริ่มแพลนกันแล้วเหมือนกัน
  • เชื่อว่ายิ่งโรคระบาดยังเป็นไปอยู่ มันจะยิ่งทำให้เกิดขึ้นแน่นอน แต่อย่างที่บอกความรู้สึกงานแต่ง ความรู้สึกบ่าวสาว องค์ประกอบ ก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากจะจับต้องได้อยู่ อยากสัมผัสในงาน ซึ่งอันนั้นก็คงเป็นในอนาคตเลย เรายังคงเห็นภาพที่เกิดขึ้นในออฟไลน์อยู่แน่นอน ในส่วนของออนไลน์น่าจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

จุดที่ทำให้คุณแพตตี้เริ่มมาทำ Wedding Planner

  • ตอนเด็กๆ เราชอบไปงานแต่งมาก เวลาเห็น dry ice เห็น bubble สิ่งพวกนี้มันอยู่ในหัวเรามาตลอด จนเรามาเรียนปริญญาตรีด้านโรงแรม ก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นคนชอบอีเวนต์ เวลาทำงานโปรเจคก็จะทำที่เกี่ยวกับงานแต่ง มันค่อยๆ กระตุ้นเราว่าอันนี้เป็นสิ่งเราอยากทำ จุดเริ่มต้นของงานแต่งจริงๆ มันเริ่มจากตอนที่พี่ชายเราแต่งงาน เราก็จะวิ่งไปช่วยบอก ช่วยจัดการโต๊ะนู้นนี้นั้น โดยที่ตอนนั้นเราไม่มีความรู้ในสิ่งนี้เลย
  • ค่อยๆ ไล่มาจนเราได้มีโอกาสมาทำงานที่แรกที่โรงแรม W Bangkok ทำอยู่สี่ปี เราก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ตรงนั้นมาเต็มที่ ทั้งในแง่ของงาน wedding และ event เราจำได้ว่างาน wedding ทุกงานเราต้องอยู่จนจบจริงๆ เพราะรู้สึกแบบว่ามันมีอะไรก็ไม่รู้ที่เราเห็นแล้วสนุก เห็นแล้วชอบคิดต่อ มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้นเลยที่เราออกจาก W ว่าเราจะตั้งเป็น wedding planner ของเราเอง
  • ซึ่งจุดยืนของเราจะเป็นเซอร์วิสที่เราเข้าถึงบ่าวสาวจริงๆ เราไม่ได้เริ่มต้นจากว่าอยากทำอาชีพนี้เพราะว่าเงินอย่างเดียว แต่มันเป็นแพสชั่นที่เราทำแล้วรู้สึกว่ามีความสุข เราชอบคุยกับบ่าวสาว ชอบอธิบาย ชอบแชร์ประสบการณ์ที่เราทำมา อันไหนเราไม่รู้เราก็จะบอกว่าไม่รู้จริงๆ แต่เราจะไปหาคำตอบมาให้ เป็นสิ่งที่ได้ค่อยๆ craft ตัวเราขึ้นมา
  • ต้องบอกว่า W Bangkok ก็เป็นที่ทำให้เรารู้แน่ชัดเลย อย่างที่เราเจองานแต่ง เจอความคาดหวังของคู่บ่าวสาว บวกกับเราชอบ vibe ของบรรยากาศโรงแรม เราชอบการทำงานกับหลายๆ ทีม หลายๆ ฝ่าย เราเลยรู้สึกว่าเราอยากจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้คู่รักได้มีโอกาสได้จัดงานดีๆ แค่นั้นเลย

สรุป ฝากส่งท้าย

  • ฝากถึงคู่แต่งงานที่แพลนกำลังจะแต่งงานก็ไม่ต้องกลัว เพราะว่ายังไงตอนนี้มันก็ยังเป็นต่อไป และก็ยังมีงานแต่งที่เกิดขึ้น แต่แค่ว่าเราต้องมาทำความเข้าใจว่างานในลักษณะไหนที่มันจัดได้ ก็มีตัวช่วยทั้ง wedding planner, wedding oragnizer หรือว่าช่องทาง informaion ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต คนที่จะแพลนแต่งงานก็ลองศึกษาข้อมูลตรงนั้นดูก่อนได้ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้มันต้องอัพเดทไปเรื่อยๆ วันต่อวันจริงๆ การที่เรามองว่าเราจะไม่ทันแล้ว เราจะแต่งปลายปีหน้าแต่ตอนนี้เรายังไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่ต้องกังวลจริงๆ ถือว่าทุกอย่างเดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันสั้นลง เพราะฉะนั้นก็ดูตามสถานการณ์ไปดีกว่า
  • ขอฝาก MODI EDGE ไว้เป็นอีกช่องทางนึงสำหรับคู่แต่งงานที่แพลนจะแต่งงาน มีเซอร์วิสทั้งในแง่ของการเป็น planner แล้วก็ designer ที่ทำร่วมกับบริษัทไม้หน้าสาม ที่เป็นบริษัทดีไซเนอร์ออกแบบงานแต่งที่ค่อนข้างมีจุดเด่นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เชื่อมือได้เลย บ่าวสาวเหมือนจะได้ทีมสองทีมที่แข็งแกร่งในการดูแลงาน ภาพลักษณ์หน้าตาของงานแต่ง ในเรื่องของการประสานงานที่มี connection กับทางโรมแรมหรือทีมต่างๆ ก็มีคนที่เป็น professional ที่จะดูแลตรงนี้ให้
  • ในส่วนของ organizer ที่จะดูแลคิวในวันงานที่บ่าวสาวได้ประสานไว้แล้ว เราก็ดูแลให้เหมือนกัน ส่วนใหญ่แบรนด์ของเราจะไม่ได้โปรโมทอะไรเยอะ จะเป็นการแนะนำปากต่อปาก เป็นการดูแลคนใกล้ตัวกันจริงๆ แบบนี้ เพราะฉะนั้นเราก็เหมือนอยากเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องที่จะมาสร้างงานแต่งของคุณให้มันดีที่สุดในตามแบบที่คุณตั้งใจมากที่สุด

 


รายละเอียด

Date: 8 Dec 2021 (21:00-22:10)

Speaker:
คุณแพตตี้ พรสิรี จรัสศรีวิไล
– Creative Director at MODI EDGE Wedding & Event planning Co.

Moderator: พี พนิต (วันนี้สรุป..มา)

 


#ClubhouseTH #ทำไมถึงสำคัญ #WeddingPlanner #Wedding #งานแต่งงาน #จัดงานแต่งงาน #todayinotetoevent #todayinoteto #วันนี้สรุปมา