1. Skincare คืออะไร
======================
– Skincare(สกินแคร์) คือการใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของผิว เพื่อช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น
– จะมีคนที่มองสกินแคร์แบบ functional มากๆ ใช้เพื่อรักษาความสะอาด รักษาสุขภาพ หรือแก้ไขปัญหาโรคผิวหนังต่างๆ และคนที่มองสกินแคร์แบบ emotional เพื่อความสวยงาม เป็น experience เป็นเรื่องเกี่ยวกับ self care
– หลายๆ คนอาจจะมองว่าสกินแคร์ไว้รักษาโรคอย่างเดียว แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เยอะมากเหมือนกันที่มองเรื่องสกินแคร์เป็นเรื่องสนุก ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมีการใช้สกินแคร์หลายขั้นตอนมากๆ
– คนส่วนใหญ่น่าจะเคยใช้สกินแคร์บ้างในชีวิตนี้
2. Skincare ขั้นพื้นฐานที่จำเป็น
======================
– สกินแคร์ที่จำเป็นจริงๆ มีอยู่สามอย่าง
*1. การป้องกันผิวจากรังสี UV (การทากันแดด)
*2. การทำความสะอาดผิว (การล้างหน้าตอนจบวัน)
*3. การบำรุงเพื่อเสริมการทำงานของผิว (มอยเจอร์ไรเซอร์สักหนึ่งตัว)
– คิดว่าทั้งสามอย่างนี้เป็นอะไรที่ทุกคนควรมีใน routine เป็นเหมือน fundermental
3. ประเภทของ Skincare
======================
*1. กลุ่มปกป้องผิว เช่น กันแดด พวกสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ
*2. กลุ่มบำรุงผิว เสริมความชุ่มชื่น ปลอบประโลมผิว
*3. กลุ่มรักษาผิว เช่น การรักษาจุดด่างดำ สิว ริ้วรอยต่างๆ
4. แนะนำวิธีการเลือกซื้อ Skincare
======================
—————————————
*1. รู้จักผิวของตัวเองก่อน
—————————————
– รู้ว่าผิวของเราต้องการอะไร เป็นผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวคอมโบ ผิวเราขาดน้ำไหม ระคายเคืองหรือแพ้อะไรหรือเปล่า ถูกกับน้ำหอมไหม ต้องรู้จักพื้นฐานผิวของเราก่อน
– ง่ายที่สุดคือผิวมัน ผิวแห้ง ลองเอากระดาษซับมันมาซับหน้า รอสัก 15-30 นาทีแล้วลองเอามาซับอีกรอบ ดูว่ามันมีน้ำมันออกมาเพิ่มหรือไหม ถ้ามีก็คือผิวมัน อันนี้ก็เป็นวิธีการทดสอบง่ายๆ อาจจะลองหลายๆ ที่ อาจจะมี T-Zone ตรงไหนมัน ตรงไหนแห้ง
– เดี๋ยวนี้มีเครื่องตามห้างหรือเคาน์เตอร์แบรนด์ต่างๆ ที่สามารถวัดได้เลย บางอันก็อาจจะต้องช่วยอุดหนุนสินค้าของเขาหน่อย ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ถ้าเราอยากรู้ว่าผิวของเราเป็นแบบไหน
– ผิวเราขาดน้ำไหม ก็สำคัญ เพราะความมันกับความขาดน้ำก็คนละอย่างกัน ส่วนใหญ่คนที่ผิวมันจะเป็นคนที่ผิวขาดน้ำด้วยซ้ำ การเลือกสกินแคร์ก็ต้องมาเลือกว่าเราจะเลือกตัวที่เติมน้ำมันให้ผิวหรือเติมน้ำให้ผิว
—————————————
*2. ดูว่ามีปัญหาอะไรที่เราอยากจะแก้โดยเฉพาะ
—————————————
– ริ้วรอย จุดด่างดำ หรือว่าสิว ถ้าไม่แน่ใจให้ไปหาคุณหมอ เรื่องนี้ค่อนข้าง sensitive บางคนอาจจะคิดว่าเม็ดที่เราเป็นคือสิว แต่เม็ดอันนั้นสามารถเป็นไปได้หลายอย่างมาก ถ้าเรามีปัญหาเรื้อรัง แนะนำให้ไปหาคุณหมอให้เขาวินิฉัยดูว่าเรามีปัญหาแบบไหนกันแน่
– ไม่ใช่ว่าเราวินิฉัยเอง แล้วเราก็อาจจะวินิฉัยผิดได้ อาจจะไม่ใช่สิวแต่เป็นเชื้อรา เพราะทั้งสองอย่างใช้ส่วนผสมในการแก้คนละอย่างกันเลย ปัญหาก็อาจจะยิ่งแย่ลงได้ เริ่มแรกอยากวินิฉัยให้ถูกต้อง
—————————————
*3. หาข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมที่จะช่วยรักษาปัญหา
—————————————
– หลังจากนั้นพอเรารู้แล้ว เราค่อยมา research หาข้อมูลว่ามีส่วนผสมตัวไหนที่จะรักษาปัญหาที่เราเป็นได้ ซึ่งเป็นส่วนที่เฉพาะเจาะจงของเรา ผิวของเราไม่ได้เหมือนกับบิวตี้บล็อกเกอร์ ไม่ได้เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าคือการที่คุณฟังคอนเซ็ปต์ที่อธิบายในรีวิวต่างๆ แล้วก็นำไปปรับใช้ให้เข้ากับผิวตัวเอง หาสกินแคร์ที่มันตอบโจทย์กับปัญหาผิวของตัวเองมากที่สุด
5. เทคนิคในการเลือก Skincare
======================
– สมมุติเรารู้แล้วว่าเรามีปัญหาจุดด่างดำ เราก็ต้องหาส่วนผสมที่จะช่วยรอยดำได้ เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี 3 แล้วก็ให้เริ่มไปพลิกหลังกล่อง เข้าไปดูร้านค้าต่างๆ ว่าตัวไหนที่น่าใช้ ตัวไหนอยู่ที่ในราคาที่เหมาะสมกับเรา อันนี้ก็สำคัญ หลายๆ คนคิดว่าสกินแคร์ที่ดีจะต้องคือสกินแคร์ที่แพงเสมอ แต่จริงๆ แล้วสกินแคร์ที่ดีมีอยู่ในทุกราคา ถ้าเราหัดสังเกตส่วนผสม ดูว่ามันเหมาะกับผิวเราจริงไหม มันหาได้ในทุกราคาจริงๆ ตั้งแต่ร้านขายยาไปจนถึง luxury counter brand มันมีของที่ตอบโจทย์เราได้อยู่ในทุกงบ
– เวลาที่เรามองสกินแคร์อย่ามองเป็นตัวๆ ให้มองทั้งหมดที่เราจะใช้ ไม่ใช่ว่าตัวนี้ดี ตัวนั้นดี แต่พอจับมารวมกันทั้งหมดแล้วพัง เป็นปัญหามากเหมือนกัน เพราะจริงๆ ในบางครั้งมันอาจจะดีทุกตัว แต่วิธีการใช้ของเรามันไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่นพวกส่วนผสมอย่างกรด ที่มีในโทนเนอร์ มีในเซรั่ม มีในยารักษาสิวแต้มสิว เยอะไปหมด ซึ่งส่วนผสมพวกนี้เราเรียกว่า active ingredient คือส่วนผสมที่มันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในผิว เวลาที่เราเลือกสกินแคร์เราต้องดูก่อนว่า active ingredient อันไหนเหมาะกับเรา อันไหนใช้ด้วยกันได้หรือไม่ได้ สมัยก่อน กรด วิตามินเอ วิตามินซีก็คือ active ingredient แต่ละตัวมันก็มีหน้าที่ที่ดีของมัน แต่พอเราจับมาใช้ด้วยกันเยอะๆ แล้วมันก็กลายเป็นการประโคมและมันรุนแรงกับผิว ทำให้เกิดการระคายเคืองมากๆ
– เราจะเน้นคำว่า Less is more คือน้อยแต่มาก ในหนึ่ง routine สมมุติเรามีปัญหาเรื่องจุดด่างดำ มันมีส่วนผสมที่ช่วยได้เยอะมาก หลายตัว เราเลือกแค่สองตัวก็พอแล้วเราก็ค่อยๆ ใช้ไม่ต้องประโคม ใช้อาทิตย์ละครั้งสองครั้งก่อน ค่อยๆ ปรับขึ้นมาเป็นวันเว้นวัน เริ่มน้อยๆ ให้ผิวเรามันมีเวลาปรับตัวกับ active ingredient แล้วจำไว้ว่าอย่าประโคม อย่าใช้หลายๆ ตัว มันจะซ้ำซ้อนเกินไป
– แนะนำให้เริ่มใช้ทีละตัว เพราะถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาเราจะได้รู้ว่ามันเกิดจากผลิตภัณฑ์ตัวไหน สมมุติเราเริ่มยกเซ็ตใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์ห้าตัว ถ้าผิดพลาดขึ้นมา เราจะไม่รู้เลยว่ามันมาจากตัวไหน ทำให้ไปต่อไม่ถูก หรือถ้าดีก็ไม่รู้ว่ามาจากตัวไหน
– ถ้าทางเคมีส่วนใหญ่มันใช้ด้วยกันได้ ไม่ได้ทำให้ตัวนึงลดประสิทธิภาพไป หรือตัวนึงแรงขึ้น โดยปกติไม่ค่อยมีอะไรที่เกิดปฎิกิริยาซึ่งกันและกันขนาดนั้น แต่ปัญหาคือหลายๆ ตัวทำหน้าที่เหมือนกัน เช่น ผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน ถ้าวิตามินเอ ผลัดเซลล์ผิว AHA ผลัดเซลล์ผิว BHA ผลัดเซลล์ผิว แล้วเราใช้ทั้งสามอย่างที่ผลัดเซลล์ผิวพร้อมๆ กันหมด มันก็จะผลัดจนหน้าเราหลุดออกไปจนหมดเลย ยิ่งถ้าบางคนใช้สครับอีก บางคนผลัดไปแล้ว 6 ขั้นตอนใน 1 routine ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังผลัดเยอะขนาดนั้นอยู่ มันถึงสำคัญมากที่เราจะต้องรู้ว่า active ingredient ที่เราใช้อยู่มันคืออะไร
6. แนะนำวิธีการใช้ Skincare (1/2)
======================
—————————————
*1. ช่วงเช้า
—————————————
– โดยทั่วไปตอนเช้าการล้างหน้าโดยโฟมล้างหน้าเป็น optional บางคนอาจจะต้องใช้เพราะว่าผิวมัน แต่บางคนที่มีผิวแห้งก็ใช้แค่น้ำเปล่า ไม่จำเป็นต้องใช้โฟม เพราะโฟมล้างหน้ามันจะดึงไขมันจากหน้าเราออกไป คนที่ผิวแห้งอยู่แล้วคือคนที่ผิวขาดน้ำมัน อย่างเราเองตอนเช้าก็ล้างด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียว มันจะได้รักษาไขมันดีๆ ที่เราต้องเก็บเอาไว้
– หลังจากล้างหน้าเสร็จก็จะเป็น optional step (ทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือจากโฟมล้างหน้า ครีมกันแดด มอยเจอร์ไรเซอร์ คือ optional ทั้งหมด) อาจจะลงเซรั่ม โทนเนอร์ต่างๆ ที่เป็นน้ำเหลวๆ ที่ส่วนใหญ่จะช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อที่จะให้มันปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดดที่เราจะเจอระหว่างวัน
– ขั้นตอนสุดท้ายคือการโปะครีมกันแดดลงไปหนาๆ ซึ่งปริมาณที่ถูกต้องคือ 1/4 ช้อนชา แนะนำว่าให้ไปซื้อช้อนชามาตวงทุกเช้าเลย ถ้าเราใช้ไม่ถึงปริมาณนี้ เราจะได้ค่าป้องกันไม่ถึงที่เขาเคลมไว้ข้างหน้าหลอด เพราะว่าเวลาเขาเทสค่า SPF เขาจะเทสในปริมาณ 1/4 ช้อนชา เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ให้ถึงปริมาณนี้สำหรับใบหน้า
6. แนะนำวิธีการใช้ Skincare (2/2)
======================
—————————————
*2. ช่วงเย็น
—————————————
– ขั้นตอนแรกที่ต้องทำก็คือล้างหน้า เพราะเราต้องล้างฝุ่น ล้างมลภาวะ ทุกอย่างที่มันสกปรก เหงื่อ เชื้อโรคต่างๆ ล้างออกไปจากผิว วิธีการล้างหน้าก็มีหลายแบบทั้ง double cleansing, oil cleansing, ไมเซล่า หรือโฟมธรรมดาก็มีหลากหลาย
– ต่อไปก็เป็นขั้นตอน treatment (optional step) ที่เราสามารถเจาะจงได้ตามปัญหาของเรา เช่น ถ้าเรามีจุดด่างดำ สิว ริ้วรอย ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนที่เราจะเลือกแก้ไขปัญหานั้น โดยให้เลือกทาเริ่มจากที่มีเนื้อเหลวสุดไปหนาสุด เริ่มที่น้ำตบและไล่ขึ้นด้วยเซรั่มที่หนาขึ้น
– สุดท้ายก็ตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ โปะลงไปเพื่อล็อคความชุ่มชื่น ล็อคน้ำไว้ไม่ให้ระเหยออกไปในช่วงกลางคืน เพราะช่วงกลางคืน น้ำจะระเหยออก ทำให้ผิวเราแห้ง เพราะฉะนั้นจะต้องมีมอยเจอร์ไรเซอร์ที่จะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นนั้นเอาไว้ เป็นตัวที่จะช่วยสร้างฟิล์มและเกราะป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกไปจากผิว
– นี่คือ routine ของเราที่คิดว่ามันเรียบง่ายที่สุด ไม่ต้องเวิ่นเว้อ ไม่ต้องมากสเต็ป แค่นี้พอแล้ว ขั้นตอน treatment เป็นขั้นตอนที่เรามีอิสระมากที่สุดในการเลือกผลิตภัณฑ์ ตามปัญหาผิวของเรา ส่วนที่เหลือควรจะเป็นเบสิคที่ทุกคนต้องมี
7. Skincare ยิ่งน้อยขั้นตอนยิ่งดี
======================
– จะแนะนำทุกคนให้เลือกอะไรที่น้อยที่สุด อะไรที่เป็นขั้นตอนเดียวได้ให้ทำ บางครั้งอาจจะไม่ต้องมีขั้นตอน treatment เลยก็ได้ ถ้าคุณหาส่วนผสมที่ต้องการได้แล้วในขั้นตอนอื่นๆ เช่น โฟมล้างหน้าบางตัวเดียวนี้ก็มีกรดช่วยรักษาสิว ก็รักษาในขั้นตอนโฟมล้างหน้าไปเลย แล้วก็ตัดขั้นตอน treatment ได้ หรือว่าบางคนอาจจะหาส่วนผสมไนซินาไมที่ช่วยลดริ้วรอยหรือว่าวิตามินซีในขั้นตอนอื่นๆ จากมอยเจอร์ไรเซอร์ ก็จะยิ่งทำให้เราลดขั้นตอนลงไปได้อีก
– เราพยายามโปรโมทการตัดขั้นตอน เพราะเชื่อว่าการยิ่งเพิ่มส่วนผสม ยิ่งเพิ่มขั้นตอน คือการยิ่งเพิ่มความเสี่ยง เพราะว่าผิวของแต่ละคนจะเกิด reaction กับส่วนผสมไม่เหมือนกัน แล้วสกินแคร์แค่หนึ่งตัวก็เจอส่วนผสมไปไม่รู้กี่สิบตัวแล้ว การยิ่งเพิ่ม มันยิ่งเสี่ยง เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราพิจารณาสกินแคร์ตัวนึงเราอาจจะต้องลองชั่งดูว่า benefit ที่อาจจะได้มันคุ้มค่ากับโอกาสในการระคายเคืองหรือการแพ้ที่อาจจะต้องมาด้วยหรือเปล่า เหมือนการที่เราเล่นคริปโตหรือการลงทุน ทุกครั้งที่มีรางวัลก็มีความเสี่ยง คือถือคติเดียวกัน
– ยิ่งหลายๆ คนที่อาจจะไม่ได้รักสกินแคร์มาก ใช้เพื่อ functional ก็อาจจะ turn off ไปเลยกับการที่ต้องมีหลายๆ สเต็ป แล้วเราเข้าใจมากเลย มันเป็นเหมือน barrier to entry เหมือนกัน ทำให้หลายคนไม่เคยอินสกินแคร์และไม่เคยใช้สกินแคร์เลย เพราะคิดว่าสกินแคร์มันต้องยุ่งยากมันถึงจะดี แต่จริงๆ แล้วสกินแคร์มันเรียบง่ายมาก มีแค่สามขั้นตอนเหมือนที่บอก และเป็นขั้นตอนที่ทำให้ผิวเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่ต้องวุ่นวาย
8. วิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง
======================
– กันแดดถือว่าเป็นสกินแคร์ตัวที่สำคัญมากๆ ตัวอื่นอาจจะเป็นการแก้ไขปัญหา แต่กันแดดเป็นตัวเดียวที่ช่วยในการปกป้องไม่ให้ปัญหามันเกิดขึ้นตั้งแต่แรก จุดด่างดำ สิว ริ้วรอย มันเกิดจากรังสี UV หมดเลย เพราะฉะนั้นเราป้องกันไว้ก่อน ถือว่าง่ายที่สุดแล้ว หลายคนจ่ายเงินเยอะ ใช้สกินแคร์แพงๆ เข้าคลินิกบำรุงทุกเดือน แต่ไม่ใช้กันแดดหรือใช้ในปริมาณที่ไม่ถูกต้อง
– ควรใช้ในปริมาณ 1/4 ช้อนชาสำหรับใบหน้า
– ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง (กันแดดจริงๆ อยู่ได้ไม่นาน ถ้าเราอยู่ข้างนอก 3 ชั่วโมง ก็ควรทาซ้ำ)
– อย่าลืมทาให้ทั่ว จุดสำคัญที่คนชอบพลาดคือขอบตาและหลังหู (คนที่เป็นมะเร็งผิวหนังในต่างประเทศจะพบบ่อยในบริเวณพวกนี้)
9. เรื่องที่คนชอบเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Skincare
======================
– ในโลกของสกินแคร์มีการ misinformation ค่อนข้างเยอะ จากทางแบรนด์ จากบิวตี้บล็อกเกอร์ จากทุกที่ มันมีข้อมูลเยอะไปหมด ทุกคนพยายามจะโยนข้อมูลมาให้เราตลอดเวลา แต่ว่ามันมีสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่ค่อนข้างเยอะ
– การหาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเป็นอะไรที่สำคัญ เราบอกคนดูเสมอว่าอย่าฟังแต่เราคนเดียว ให้ฟังหลายๆ มุมมองแล้วค่อยๆ เอาข้อมูลจากหลายๆ ที่มาย่อยและลองพิจารณาดูเอาเอง เพราะขนาด expert หลายๆ คน งานวิจัยยังมีการถกเถียงอยู่ตลอดเวลา บางอย่างยังหาข้อสรุปไม่ได้ เราควรที่จะเปิดกว้างและหาข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง
– มันสืบเนื่องไปถึงการที่หลายๆ แบรนด์ชอบเอาเปรียบผู้บริโภคโดยการทำการตลาดที่มันไม่มีจรรยาบรรณเท่าไหร่ เช่น ช่วงนี้จะมีเทรนด์ว่าครีมกันแดดจะต้องเป็นกันแดดที่ไม่ฟอกขาวปะการัง จริงๆ แล้วถ้าลองไปอ่านงานวิจัยจะพบว่า ฟิลเตอร์เคมีที่พบในครีมกันแดดที่ทำให้ปะการังฟอกขาว เป็นงานวิจัยที่ทำโดยมีปะการังอยู่ในแทงค์น้ำแล้วก็เทสารลงไปในปริมาณเยอะมาก ซึ่งปริมาณนี้มันไม่มีวันเจอในโลกจริง แล้วงานวิจัยนี้ก็ถูกนำเอาไปตีพิมพ์ในข่าวซะดูน่ากลัวไปหมด การที่เราไปรณรงค์แบบนี้ทำให้คนไปสนใจที่จะแก้ปัญหาผิดจุด จริงๆ แล้วมันเกิดจาก global warming เกิดจากการปล่อยสารเคมีต่างๆ ลงไปในทะเล แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าทำให้คนไปให้ความสำคัญกับการตลาด reef safe sunscreen
– อีกตัวอย่างคือเรื่องพาราเบน ตอนนี้คนกลัวพาราเบนมาก สกินแคร์ตัวไหนมีไม่ใช่เด็ดขาด แต่ถ้าไปดูในงานวิจัย เขาทดลองโดยฉีดพาราเบนเข้าไปในเส้นเลือดของหนูในปริมาณที่เยอะมาก ซึ่งไม่ใช่คนด้วยซ้ำ แล้วเราจะเอาผลวิจัยตรงนี้มาแปลงข้อมูลกับปริมาณอันน้อยนิดที่ใส่ลงไปในสกินแคร์ แถมมาทาลงบนผิวมนุษย์อีก ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลย แต่ตอนนี้ก็ทำให้คนกลัวพาราเบนไปเลย เราในฐานะผู้ผลิตคนนึงตอนนี้ก็คือแนะนำพาราเบนให้ลูกค้าไม่ได้เลย ลูกค้าทุกคนมาก็จะขอแต่ตัวที่ไม่มีพาราเบน ซึ่งถ้าถามว่าพาราเบนผิดตรงไหน จริงๆ ก็เหมือนไม่มีที่มาที่ไปเลย
– ใครที่เริ่มเข้ามาในวงการสกินแคร์จะเริ่มเจออะไรแบบนี้ เป็นแพทเทิร์นเลยว่าแบรนด์พยายามจะขายความกลัวให้เราหรืออะไรที่มันไม่ได้อ้างอิงงานวิจัยจริงๆ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องมาศึกษาให้ดี ไม่งั้นเราก็จะโดนหลอกไปเรื่อยๆ ควรจะหาข้อมูลจากหลายๆ แหล่งว่าเขาพูดอะไรกัน แต่ละคนมีมุมมองแบบไหน แล้วเราค่อยหามาพิจารณาดูเอาเอง
10. ฝากส่งท้ายเกี่ยวกับ skin care
======================
– ถ้าใครอยากเรียนรู้วิธีการใช้สกินแคร์แบบเข้าใจง่ายๆ เรียนรู้ส่วนผสมต่างๆ วิธีพลิกหลังกล่องอ่านส่วนผสม อยากรู้จักผิวตัวเองมากขึ้น อยากเลือกสกินแคร์ให้เก่งขึ้น ก็สามารถมาติดตามช่องทางของอิ๊งได้ทั้งทาง Youtube, Facebook, Instagram, TikTok “พลิกหลังกล่อง” หรือ “Ingck”
– อยากฝากไว้ว่า Less is more อย่าตื่นเต้น อย่าประโคมใช้เยอะเกินไป เพราะมันคือปัญหาใหญ่ที่สุดที่เจอในผู้บริโภคยุคปัจจุบันคือการใช้สกินแคร์เยอะเกินไปจนผิวพัง เพราะฉะนั้นให้ใจเย็นๆ เข้าใจว่าแบรนด์มันเยอะมาก แล้วทุกคนพยายามถล่มข้อมูลใส่เราตลอดเวลา ให้หายใจลึกๆ และตั้งสติดีๆ ดูว่าผิวเราเป็นยังไง ผิวเราต้องการอะไรกันแน่ แล้วค่อยๆ ศึกษาเรื่องส่วนผสมให้เหมาะกับผิวตัวเอง